ต้นฤดูวสัน ณ ภูกระดึง
เฮ้...
เสียงตะโกนข้ามมาจากอีกฝากของถนน พอหันกลับไปเจอกลุ่มคนนั่งอยู่รอบโต๊หินอ่อน
ผมเพ่งมองเข้าไปยังต้นเสียงนั้นอย่างงุนงง พร้อมกับวิ่งข้ามไปยังอีกฝั่งของถนน
แล้วมีเสียงนุ่มสุขุมเอ่ยขึ้น สวัสดีครับ ผมขานรับด้วยความดีใจ สวัสครับทุกคน
ก็เป็นครั้งแรกที่มาภูกระดึงนี่นา มีเพื่อนเดินก็ยังดีกว่าเดินคนเดียวหละ
หลังจากทักทายเพื่อนรวมทริปอย่างเป็นกันเอง พวกเราก็พร้อมจะเดินกันแล้ว
เราเหมารถสองแถวออกจากผานกเค้าหน้าร้านเจ๊กิมไม่ถึง 15 นาที
ก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ทุกคนต่างแยกสัมภาระที่จะชั่งน้ำหนัก บ้างก็ทำภาระกิจส่วนตัว
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจส่วนตัวกันหมด พวกเราพร้อมที่ขึ้นสู่ภูกระดึง
ก้าวแรกของการขึ้นภูกระดึงนั้นไม่ได้เหมือนอย่างที่คนอื่นเล่ามาเลย
เท่าที่เคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือด้านความยากในการขึ้น
แต่พอเดินขึ้นไปได้สัก 50 เมตร ก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มอยากจะได้รับกลูโคสโดยด่วน
จากข้อมูลนักท่องเที่ยวที่พอรู้มาบ้างก็คือที่ราบบนยอดภูกระดึงมีความสูงอยู่ระหว่าง
400-1200 เมตร จากระดับน้ำทะเลด้วยส่วนจุดที่สูงที่สุดอยู่บริเวณดอกเมย
มีความสูง 1,316 เมตร หรือถ้าวัดจากที่ทำการอุทยานด้านล่างไปถึงจุดกางเตนท์ 9.9 กิโลเมตร
\"โอ้...นี่พึงจะ 50 เมตรแรกเองหรือนี่\"
หลังจากนั้นก็รวบรวมกำลังกายทั้งหมดเดินหน้าต่อ
เพื่อให้ถึงจุดหมาย เส้นทางที่เป็นทางเดินขนาดไม่แคบมากเดินค่อนข้างจะง่าย
แต่อุปสรรคคือความสูงชัน กว่าจะเดินไปถึงซำแรก ซำแฮก คำว่า แฮก
นักท่องเที่ยวทั่วไปมักล้อเลียนว่ามีความหมายถึงอาการหอบ (ซึ่งคนเรามักจะออกเสียง แฮกๆ)
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า แฮก นี้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในภาษาท้องถิ่น
ระยะทางที่ต้องเดินจากที่ทำการไปยังซำแฮกยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เล่นเอาขาขวิดกันไปเลย
นั่งพักกินดื่มน้ำกันสักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
เอ้า...พี่น้องคับ...เราต้องเดินกันต่ออีกแล้วคับ...พี่น้อง พวกเรายังไม่ชนะ เราต้องสู้คับ...พี่น้อง
ด้วยสำเนียงเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ของชายวัยกลางคนในร่างที่ผอมกะหล่อง สวมเสื้อซาฟารีสีครีม
กางเกงฮิกกิง แพลน สีเดียวกัน ไหล่ขวาก็สะพายกระเป๋ากล้อง มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้าสีแดงเลือดนก
ส่วนมืออีกข้างคีบบุหรี่ที่เหลือได้สักครึ่งมวน แต่ที่น่าแปลกคือแกดันสวมเข็มขัดลูกเสือมาด้วย
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครก็ยากจะเลียนแบบ คงจะเดาได้ไม่ยากว่าตาคนนี้แก่ไม่เมาก็คงจะรั่วแน่ๆ
ไปแล้วหรือพี่ต๋อย น้ำเสียงที่กระท่อนกระแท่นเพราะความเหนื่อยล้า แทรกมาจากในซุ้มขายอาหาร
พี่น้องครับ...พวกเรายังไม่ชนะ เราต้องสู้คับ...พี่น้อง เสียงโต้ตอบไปอย่างกระชุ่มกระชวยของพี่ต๋อย
ราวกับพึ่งจะเริ่มเดินจากที่ทำการอุทยานซะงั้นแหละ
หลังจากนั้นทุกคนก็ออกเดินลัดเลาะไปตามทางที่กว้างบ้างแคบบ้าง สลับกันไปมา
บางช่วงก็สูงชันเสียจนต้องมีบันได้ไต่ขึ้น อากาศเริ่มจะร้อนอบเอ้า ม่ามเมฆดำทมึนค่อยๆ
คล้อยต่ำลงมาจนแทบจะคลอเคลียกับยอดไม้ แสงแดดที่เคยเล็ดลอดใบไม้ลงมายังพื้นดินก็ค่อยๆ
เลือนหายไป ไม่นานนักสายฝนก็โปรยปายลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำให้ผืนป่าอีกครั้ง
ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ผ่านซำแล้วซำเล่า
ความเหน็ดเหนื่อยก็ยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ
การที่ผมเองเดินค่อนข้างช้า มัวแต่ดูอะไรต่อมิอะไรรอบๆ ตัวอยู่ ทำให้ห่างจากเพื่อนๆ ค่อนข้างมาก
อยู่ๆ ก็มีเสียงแว่วมาจากด้านบน \"พี่น้องคับ...เรามาถึงหลังแปแล้วครับพี่น้อง\"
\"หลังแป\" คำว่า แป เป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งมีความหมายว่า แบน ราบ เพราะฉนั้น
หลังแปก็คงจะหมายถึงลักษณะของพภูมิประเทศที่แบนราบ ส่วนพื้นที่โค้งโนน
ก็จะเรียกกันว่า หลังเต่า ตรงจุดนี้ก็จะมีป้ายที่เขียนว่า
\"ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง CONGRATULATION TO PHUKRADUENG CONQUEROR 1,288
M.\"
และยังมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
\"พี่น้องคับ...เราต้องเดินกันต่ออีกแล้วคับ...พี่น้อง พวกเรายังไม่ชนะ
เราต้องสู้คับ...พี่น้อง
ประโยคนี้คงเป็นสัญลักษณ์ทริปเราเลยก็ว่าได้ ถ้าได้ยินประโยคนี้เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่ารู้กัน
ไปต่อได้แล้วพวกเรา
ระยะทางจากจุดนี้ไปอีก 3.6 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดกางเต้นท์
การเดินจากหลังแปไปยังจุดกางเตนท์ค่อนข้างจะสบายเนื่องจากเป็นป่าสนเขา ทางเดินกว้าง
และมีพรรณไม้นานาขึ้นตลอดริมทางเดิน ฝนซาเม็ดไปแล้วทิ้งไว้เพียงความชุ่มชื้นปกคลุมไปทั่วผืนป่า
เหล่าผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยต่างออกมาโบยบิน ยินดีต้อนรับแสงอาทิตย์ที่แทรกตัวผ่านม่านเมฆลงมา
เสียงนกเจ้ยแจ้วทักทายกันราวกับนักดนตรีเอกที่ต่างคนต่างประสานเสียงสูงต่ำผสมกลมกลื่นอย่างลงตัว
\"เย้!...\" ผมร้องขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ระยะ 3.6 กิโลเมตร ชั่งใกล้ซะเหลือเกิน เมื่อเทียบกับตอนที่เดินขึ้น
พวกเราใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงกว่า จากที่ทำการมาถึงจุดกางเตนท์
พอเดินพ้นโค้งมาจะเห็นอาคารเก่าสีไม้โอ๊กชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องสีเทาแกมดำบอกถึงช่วงเวลา
และการใช้งาน ถัดจากนั้นคือจุดกางเตนท์เป็นลาดกว้าง หญ้าเขียวๆ
ปกคลุมเต็มลานกว้างล้อมรอบไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ พอมาถึงที่พักต่างก็ไปคัดแยกสัมภาระจากลูกหาบ
แล้วแยกย้ายไปพักผ่อน แสงแดดที่อ่อนแรงส่องผ่านมาจากม่านเมฆ ลมที่พัดเย็นเอื่อยๆ สัมผัสได้ถึงโอโซน
ที่ลอยคละคุ้งอยู่เต็มอากาศ เพื่อนๆ หลายคนต่างหลับไหลด้วยความเหนื่อยล้า บ้างก็เดินสำรวจรอบๆ ที่พัก
จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะรับขอบฟ้า พวกเราต่างพากันไปนั่งรอชมอาทิตย์อัสดง
ขอบฟ้าที่พลัดเปลี่ยนสีสันกันให้เราได้ชื่นชม ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน
หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ฝากไว้กับพวกเรา...
เดี๋ยวเขียนเสร็จจะเอามาเล่าต่อนะ
ขอนึกก่อน