ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้เป็นภาพเก่าๆ ที่สมัยผมเคยไปเยือนเมื่อเกือบๆ 4 ปีที่แล้ว
จะเน้นเขียน บรรยากาศ ความรู้สึกที่เคยสัมผัสมากกว่า
ภาพถ่ายอาจจะไม่ค่อยสวย แต่ความประทับใจกับสถานที่และเจ้าหน้าที่ แถบจะไม่เคย เก่าในความทรงจำเลย
เคยไปเยือนมา 3 ครั้ง 3 ครา เก็บความประทับใจยัดใส่เป้กลับมาทุกๆที
ครั้งแรก ที่รู้จักกันกับ พุเตย
(ครั้งแรกที่ไปไม่มีรูปมานะครับ เพราะตอนนั้นไม่มีใครมีกล้องเลยซะคน)
ช่วงปีใหม่ ของปี 2548 ได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่เรียนด้วยกัน แถว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
พักที่บ้านเพื่อน 1 คืน แล้วก็ถามญาติๆเพื่อนกันว่า ที่นี่มีที่ไหนให้เที่ยวบ้าง
คำตอบที่ได้รับคือ พุเตย ซึ่งแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อเลยตอนนั้น (เครื่องหมายคำถามพุดขึ้นมาในสมอง)
ได้ฟังคราวๆคือมันเป็นอช.นี้แหระ เท่านั้นก็ไม่คิดมากกันแล้วครับ ผมกับเพื่อนทั้ง 6 คน
กระโดดขึ้นท้ายรถกระบะ
ของลุงเพื่อนให้ไปส่งที่พุเตยเลย
เส้นทางที่ใช้ขึ้น ผมใช้ทางที่ต้องผ่านศาลเลาดาร์แอร์ เส้นทางนี้เรียกที่ว่ากระเด็น กระดอน
ก้นกบกระแทกกันซะปวดหมด
ตอนนั่งรถยังแซวๆกับเพื่อนเลยว่าพอถึงที่ อาจมีทางลาดยางอยู่ก็ได้
พอถึงที่อช.พุเตยมันก็เป็นจริงดังที่แซวเล่นๆกัน 555
พุเตยสามารถขึ้นได้ 2 เส้นทางครับ
เส้นทาง 1 ผ่านป่าสน ผ่านศาลเลาดาร์แอร์ เป็นถนนลูกรัง สภาพถึกพอสมควร
เส้นทาง 2 ทางถนน 3480 มาทางบ้านห้วยดินดำ อช.พุเตยจะอยู่ ขวามือ ถนนลาดยางอย่างดี
แต่เส้นทางนี้มาจากอ.ด่านช้างจะอ้อมกว่าเส้นทางแรกพอสมควร
มาถึงก็จัดการทำกิจกรรมไรไปเรื่อยเปื่อย ลุงเพื่อนที่มาส่งก็กลับไปแล้วบอกจะมารับพรุ้งนี้ตอนบ่ายๆ
วันนั้นคนค่อนข้างเยอะหน่อยเพราะตรงกับวันสิ้นปีพอดี
ตกหัวค่ำเรื่องที่ไม่เคยจะคาดคิดว่าจะเจอที่ พุเตย คือ น้ำมันครับ น้ำมันองุ่นเป็นไข ขณะนั้นเพิ่งจะ
20.00น.เอง
อากาศมันช่างหนาวเหน็บเหมือนยอดดอยทางเหนือมากกก หนาวแบบที่ไม่คิดว่าที่นี่จะหนาวเพียงนี้
ผมและเพื่อนๆนั่งสั่นกันเป็นเจ้าเข้าทรงกันอยู่ที่หน้าเต็นส์ ติดใจกับอากาศที่หนาวมากกกกกกก
เง้ยหน้ามองบนฟ้าก็มีมวลหมู่ดาวคอยกระพริบย้อล้อ
เสียงเอ่ยจากเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าอยู่ต่ออีกคืนมั๊ย ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า
เพราะติดใจกับบรรยากาศที่นี่
ค่ำคีนนี้ผมหลับไปพร้อมกับบรรยากาศดีๆของพุเตยอย่างสุขใจ
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากผมไม่มีพาหนะไปไหนก็ได้แต่แค่เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ใน อช. คุยกับเจ้าหน้าที่ทุกๆคน
ขอบอกได้เลยว่าทุกคนน่ารักมากๆ ดูแลช่วยเหลือทุกๆเรื่องเกินกว่าเจ้าหน้าซะอีก
ช่วงบ่าย ลุงเพื่อนได้ขับรถมารับ พวกเราจึงบอกไปว่าไม่กลับอ่ะ
ขออยู่ต่อเดี๋ยวหาทางกลับเองก็ได้ในวันพรุ้งนี้
ทั้งๆที่รู้ว่ามีรถประจำทางผ่านแค่รอบเดียวคือตอน 07.00น.เพื่อนที่จะเข้า ด่านช้าง (ถามจากเจ้าหน้าที่)
ซึ่งผมก็คิดไว้แล้วว่าพวกผมคงตื่นกันไม่ทันหรอก 555 แต่ต้องมีทางซักทางล่ะว่ะ หุหุ
เนื่องจากตัดสินใจอยู่กันต่อทำให้เสบียงหมด เจ้าหน้าที่ใจดี
ก็พาไปซื้อเสบียงที่ตลาดนัดชาวกระเหรี่ยงแถวๆนั้น
ผมจำได้ว่าซื้อ ลาบหมู(พริกกระเหรี่ยงของแท้) มา 2 ถุง ถุงล่ะ 10 บาท และจิปาถะ
แต่ไอ้รสชาติของลาบหมู นี้มันอร่อยเกินราคาจริงๆ
ยามค่ำคืนในคืนนี้ที่ อช. เหลือเพียงพวกผมเพียงเต็นส์เดียว แค่ 6 ชีวิต
คุณลุงดุสิต เจ้าหน้าที่จึงมานั่งร่วมวงสนทนา
กับพวกผมด้วยและได้ให้ความรู้ต่างๆมากมาย(เพิ่มรอยยักในสมองมาอีก1ขีด)
สิ่งที่ผมติดใจ ก็คือลุงดุสิตนี้และครับ ดูแลออย่างดี ขาดเหลืออะไรแกบอกใช้ไปเอาที่บ้านแกได้เลย
วงสนทนาพร้อมเสียงกีต้าร์ และมิตรภาพแห่งพ้องเพื่อนช่างมีความอบอุ่นมีแท้
ราตรีสวัสดิ์ไปพร้อมกับเสียงกีต้าร์แล้วกัน
ค๊อกๆๆ
วันกลับ (ฉันจะกลับยังไง)
วันรุ่งขึ้นตื่นมากันก็ 9โมง 10โมงกันแล้ว ปัญญากคือจะกลับยังไงว่ะ
รถบนถนนที่ผ่านอุทยาน 1 ชั่วโมงจะมาสัก 2-3คัน ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่อีกแล้วครับ
ขอให้เจ้าหน้าที่ พาไปหาตู้โทรศัพท์(ตอนนั้นที่พุเตยยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีหรือยัง)
เพื่อโทรบอกลุงเพื่อนให้มารับกลับหน่อย (เพิ่งอวดดีกันไปเมื่อวาน บอกจะกลับเอง 555 )
และแล้วลุงเพื่อนก็มารับพวกเรากลับจากพุเตย
ความทรงจำครั้งแรกของผมกับ พุเตย ขอบอกได้เลยว่าประทับใจกับพี่เจ้าหน้าอย่างสุดซึ้ง
และสัญญากับพวกพี่ๆไว้ว่าอีกที่ไม่เกิน 1 เดือน ผมและพื่อนๆชุดใหญ่จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
กลับมาจะพร้อมกว่าครั้งนี้ ผมสัญญาว่าจะมาเยือนอีกครั้ง