"เมื่อตะวันยอแสงเรี่ยวแรงก็เริ่มอ่อนล้า พักลงตงนี้ที่เดิมแล้วหลับตา ชมลม ชมไทย จะพาเรี่ยวแรงคุณกลับคืน"

ชมไทย www.chomthailand.com ติดต่อโฆษณา บทความ แนะนำการท่องเที่ยว IDLINE : akechomthai T. 089-780 1770 e-mail : chomthailand@gmail.com

โฮมสเตย์ วิถีชีวิต ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ  Chomthailand

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน

ลุยฝน ทนแฉะ ที่ดงพญาเย็น (เขาสมอปูน) โดย โก๋ ก้อนดิน

ความนิยม 1เข้าชม/อ่าน 1641 ครั้ง2014-8-15 09:28

                

เขาสมอปูนตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  (ขญ.11 ในสมัยก่อนพื้นที่ป่าผืนนี้   จะเป็นป่าดงที่รกทึบ  มีพืชพรรณนา  นาชนิด  ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น  มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่  ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  และสัตว์มีพิษชนิดต่างๆ  ด้วยความที่เป็นป่ารกทึบ  มีอันตรายมากมายแฝงตัวอยู่  จึงไม่ค่อยมีใครกล้าผ่านเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้  จึงเป็นเหตุให้เกิดความอุดมสมบูรณ์  อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้  ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ก็คือ  ที่นี่จะเป็นที่หลบซ่อนตัว  ของพวกโจรผู้ร้าย  ที่หลบหนีการจับกุมตัวของทางการ  เข้ามาอยู่ในป่ากันมากมาย  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผืนป่า  ดงพญาไฟจะเป็นที่  ที่ปลอดภัยสำหรับพวกโจรเสมอไป  มีโจรบางคนที่หนีตายเข้ามาหาความตาย  ก็เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้นั่นแหละ  เมื่อหลบหนีจนพ้นเงื้อมมือของทางการมาได้  แต่กลับไม่พ้นเงื้อมมือ  ของพญามัจจุราช  ที่แอบซุ่มซ่อนอยู่ในป่า  ด้วยจำนวนที่มากมายกว่า  กำลังของเจ้าหน้าที่  ที่ตามจับกุมหลายเท่านัก  พญามัจจุราชที่ว่านั้นก็คือ  พวกสัตว์ร้าย  เสือ  งูพิษทั้งหลาย  ถ้าใครลองได้โดนตะปบ  ขย้ำหรือโดนกัดเข้าล่ะก็  อย่าหวังที่จะรอดไปได้ในสมัยนั้น  ละยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คอยจ้องจะคร่าเอาชีวิต  ของพวกเสือพวกโจร  ที่หลบซ่อนอยู่  ในผืนป่าดงพญาเย็นแห่งนี้ก็คือ  ไข้ป่า  หรือที่เรียกกันว่า  ไข้มาลาเลียนั่นแหละครับ

                ไม่ว่าใครก็ตาม  ที่ลองได้เป็นเข้าแล้ว  มีน้อยรายนักที่จะรอด  ออกมาจากป่าแห่งนี้  ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้จักพืชสมุนไพร  ที่ใช้บรรเทาอาการของไข้ป่าลงได้   แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า  มันจะช่วยให้หายขาด  จากอาการไข้  อย่างมากก็แค่บรรเทาเท่านั้น  คนที่เป็นไข้มาลาเลียในสมัยนั้น  จึงยากที่จะรอดชีวิตอยู่ได้

                ในสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เปลี่ยนแปรไปมากมาย  พื้นที่ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์  เคยรกทึบ  มีความโหดร้ายอยู่ในตัวนั้นได้ค่อยๆ  ถูกทำลายลงไปทีละน้อยๆ  จนแทบจะไม่หลงเหลือ  ความน่าสะพรึงกลัวเอาไว้เลย  ทางการจึงได้จัดตั้งพื้นที่ป่าแห่งนี้  ให้เป็นป่าสงวน  โดยประกาศให้เป็นพื้นที่  อุทยานแห่งชาติ  และประกาศ  ให้เป็นพื้นที่ป่ามรดกโลกในลำดับต่อมา  จึงทำให้นักนิยมไพรสมัครเล่น  รุ่นปลายแถวอย่างผม  ได้ศึกษาเรียนรู้ความเป็นมาของป่า  ได้เรียนรู้วิธีการ  ใช้ชีวิตในป่าบ้างเป็นครั้งคราว  เพราะในสมัยนี้เป็นไปไม่ได้  ที่ใครสักคน  จะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่รกทึบได้  เนื่องจากผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์นั้น  ได้กลายเป็นป่าสงวน  กลายเป็นเขตต้องห้ามไปหมดแล้ว  ซึ่งก็เป็นการดีมาก  เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น  ก็จะมีผู้มีอำนาจเข้าไปตั้งรกราก  แทนคนยากคนจน  ที่ต้องทำมาหากิน  เลี้ยงครอบครัวไปวันๆ  การเข้าออกพื้นที่ป่าแต่ละครั้ง  ก็จะต้องมีการขออนุญาตจากผู้มีหน้าที่  คอยปกปักรักษาป่าเท่านั้น

                ผมเห็นด้วยนะครับ  ที่จะต้องมีขั้นตอนแบบนี้  อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันผืนป่า  ได้ในระดับหนึ่ง  ที่เห็นด้วยนี่ก็ไม่มี  อะไรมากหรอกครับ  ผมเพียงแค่คิดว่าถ้าไม่ทำแบบนี้แล้ว  จะเหลือผืนป่าที่ไหน  ให้ผมได้เข้าไปเดินเหยียบย่ำเล่นล่ะครับ 

                เขาสมอปูน  การเดินทางในครั้งนี้  เป็นการรวมตัวของคนที่ชื่นชอบ  บุกตะลุยไปในผืนป่า  ที่ฝนกำลังตก  น้ำในลำธารไหลแรง  ทางเดินลื่น  ต้องเดินข้ามน้ำข้ามเขา  นอนเปล  กลางป่าภายใต้ม่านฝน  กินข้าวกลางผืนดินหรือบนก้อนหิน  สุดแล้วแต่จะสะดวก 

                จุดหมายแรกในการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้คือ  หน่วยพิทักษ์ป่า  อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  คลองเพกา(ขญ.11

                เสบียงพร้อม  ผู้ร่วมเดินทางพร้อม  เจ้าหน้าที่ลูกหาบพร้อม  เราจึงค่อยๆ  พากันย่ำเดินไปบนเส้นทางที่ชื้นแฉะ  ด้วยน้ำที่ซึมลงมาตามทางเดินอยู่ตลอดเวลา  เส้นทางในช่วงแรก  จะต้องเดินเข้าไปในป่าโปร่ง  ที่มีกอไผ่ขึ้นอยู่ตามรายทาง  สภาพเส้นทางก็จะค่อยๆ  ชันขึ้นเรื่อยๆ  ประมาณสัก  ยี่สิบองศา  เดินเรียงแถวกันไปบนทางที่แคบ  เดินได้ทีละคน  ต้องข้ามน้ำหลายแห่ง  แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคอะไร  เพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า  จะต้องเจอกับอะไรบ้าง  ในการเดินทาง  ท่องเที่ยวในลักษณะนี้  จึงมีการเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี

                ตลอดเส้นทางเดินจะต้องเดินเข้าป่าทึบ  สลับกับทุ่งหญ้า  ทุ่งดอกไม้ป่าบ้าง  จึงทำให้ไม่เหนื่อยมากนัก  เพราะเราเดินกันไปเรื่อยๆ  เจอดอกไม้สวยๆ  ก็หยุดแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ  ร่างกายได้พักผ่อนการเดินทางจึงง่ายขึ้น  ในบางช่วงเรายังได้เจอ  กับรอยเท้าของกระทิง  และควาย  ตอนแรกที่เห็นก็คิดอย่างเดียวเลยว่า  มันคือรอยของกระทิง  เพราะในเขตพื้นที่นี้  มีกระทิงและสัตว์ใหญ่อื่นๆ  เข้ามาหากินอยู่บ้าง  แต่พอได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่แล้ว  มันคือรอยของกระทิงจริงๆ  และยังมีรอยของควายบ้านที่กลายมาเป็นควายป่า  จึงทำให้เกิดความสงสัยมากขึ้น  ควายบ้านกลายเป็นควายป่านั้นคืออะไรกัน  ก็ได้รับการไขข้อข้องใจว่า 

                สมัยก่อนเมื่อประมาณ  สักสี่สิบปีที่แล้วแถวๆ  เขตเขาสมอปูนนี้  เคยเป็นหมู่บ้านมีนาข้าว  มีร้านค้ามีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย  ที่บ่งบอกถึงความเป็นหมู่บ้าน  พอทางการได้มีแนวคิด  ที่จะประกาศ  รวมเขตพื้นที่นี้  เข้าเป็นเขตอุทยานฯ  จึงต้องอพยพผู้คน  ออกจากเขตป่า  ทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องถูกขนย้ายออกไป  รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย  แต่ก็ยังมีควายบางส่วน  ที่ไม่สามารถต้อนออกไปได้  จึงต้องปล่อยทิ้งเอาไว้  กลายเป็นควายป่าไปในที่สุด  เราจึงพอจะได้เห็น  รอยควายเดินกันอยู่บ้าง

                น้ำตกหินลาด  เดินไปเล่นไปพักกันไป  จนถึงจุดแรกที่เราจะใช้เป็นที่ตั้งแค้มป์  นอนกันหลังจากที่  ได้เพลิดเพลินกับการ  บุกน้ำลุยโคลน  ที่เละเหมือนกับใครได้เข้ามาทำเทือก  เอาไว้เพื่อจะดำนา  เป็นระยะทางประมาณ  เก้ากิโลเมตร  เราจึงต้องแวะพักกันที่นี่หนึ่งคืน  ก่อนที่จะเริ่มเดินทางกันต่อไป

                เมื่อตั้งแค้มป์กันบริเวณดงต้นสมอปูน  อันเป็นที่มาของชื่อเขาแห่งนี้  ด้วยเปลคนละผืน  และเมื่อทำกับข้าวเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว  จึงถึงเวลาที่จะออกเดินดูความสวยงาม  ของผืนป่าโดยรอบและตัวน้ำตกหินลาด  ที่ทอดตัวยาวไกลไปยังเบื้องล่าง  เลยจากแค้มป์ของเราลงไป  อีกทั้งยังมี  ดอกไม้ชนิดต่างๆ  ที่ขึ้นอยู่ตามลานหิน  ริมน้ำตกมากมายหลายชนิด  มีทั้งที่ขึ้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว  และที่ขึ้นกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นกอ  มีทั้งที่ทิ้งใบและไม่ทิ้งใบก่อนให้ดอก  ตามแต่การสรรสร้าง  ของดอกไม้แต่ละชนิด  แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ชนิดใดก็คือ  ดอกไม้แต่ละดอก  ต่างก็แข่งขันกันชูช่อ  โอ้อวดความสวยงามของตัวเอง  ชนิดที่ว่าไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียวทั้งๆ  ที่ดอกไม้แต่ละดอก  ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ  จากการทำเช่นนั้นเลย  จะว่าเพื่อเชิญชวนหมู่มด  แมลงให้เข้ามาดอมดมก็ไม่ใช่  เพราะขนาดดอกที่ไม่สวยยังมีแมลงมาตอมเลย  ความสวยงามทั้งหมดจึงตกลงมาอยู่ที่  สายตาของพวกเรา  ที่ได้รับผลประโยชน์แบบชุบมือเปิบ  จนอิ่มเอมกับความงดงาม  กันไปทั่วหน้า

                ตรงจุดนี้จะมีลักษณะ  เป็นลานหินที่ทอดยาว  ลงไปไกลพอสมควร  มีชั้นเล็กชั้นน้อยลดหลั่นกันลงไป  ตามลำดับก่อนที่จะถึงตัวน้ำตกใหญ่  ด้านล่างตรงสุดปลายลานหิน  สายน้ำที่ทิ้งตัวลงในช่วงนี้ไม่ค่อยมากนัก  เราจึงวางใจกันได้ในเรื่องน้ำป่า  ที่จะมาหอบเอาไปในตอนที่กำลังหลับกันเพลินๆ

                หลังจากที่ได้ดูดอกไม้  ได้เล่นน้ำตกกันจนหนำใจแล้ว  ก็ใกล้จะมืดค่ำพอดี  ที่นี่เราไม่มีโอกาส  ได้เห็นตะวันตกดิน  เนื่องจากเราอยู่ต่ำเกินไป  อีกทั้งช่วงนี้เป็นฤดูฝน  ก้อนเมฆสีดำจึงบดบังอยู่ทั่วไป  มีแต่เสียงน้ำที่ไหลกระทบโขดหินดัง  ซ่า...ซ่า...ซ่า...อยู่ตลอดเวลา  ไม่มีเสียงนกร้อง  ไม่มีเสียงสัตว์ป่า  แต่พอจะมีเสียงของใบไม้  ที่ถูกกระแสลมแรงพัดในบางช่วงดัง  ซู่...ซ่า...  พอจะแข่งกับเสียงของน้ำในลำธารได้บ้าง  อยู่ที่นี่เราจะ  กระซิบเพื่อคุยกันไม่ได้เลย  เพราะจะไม่ได้ยิน  การตะโกนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด  จนในบางครั้งเราก็เผลอตัว  ตะโกนคุยกันในที่อันเงียบสงบเหมือนกัน  เพราะคิดว่านั่งคุยกันอยู่ข้างลำธาร  ที่มีเสียงน้ำไหลดัง  ซ่า...ซ่า...อยู่

                มื้อค่ำริมสายน้ำ  เรานั่งล้อมวงกินข้าวเย็นกันตอนที่  แสงนั้นหมดไปแล้ว  จึงมีเพียงไฟฉายที่ติดตัวกันมาเท่านั้น  ถ้าคิดว่าจะอาศัยแสงจันทร์นั้น  เลิกคิดไปได้เลยเพราะฟ้าไม่เปิด  และอีกอย่างหนึ่ง  กว่าพระจันทร์จะดันตัวเองโผล่พ้น  ขอบฟ้าขึ้นมาอยู่เหนือปลายไม้ได้  เราก็กินกันจนอิ่ม  เก็บกันจนเรียบทุกอย่างไปแล้ว  กว่าจะได้เห็นพระจันทร์เสี้ยวแหว่ง  โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

                กินอิ่มนั่งคุยกันตามที่เคยทำกันมาทุกครั้ง  ที่เข้าป่า  คุยไปฟังเสียงพลุที่จุดขึ้นมา  เนื่องจากวันแม่ไปด้วย  บางครั้งก็มีแสงวูบวาบขึ้นมาตรงตีนฟ้า  ก็พอจะเดาได้ว่า  มันคือปลายแสงของพลุที่เรามองเห็นกันได้  เพียงเท่านี้  เพราะปลายไม้ที่สูงบดบังอยู่  ยังมีแสงที่วาบ...!!!แว๊บ...!!!เป็นเส้นแปล็บ...!!!ลงมาจากเบื้องบนอีก  แต่ไม่มีเสียง  สิ่งนี้ก็พอจะเป็นสัญญาณเตือน  พวกเราได้ว่า  สมควรที่จะเก็บข้าวของ  ตรวจตราที่หลับที่นอน  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องกันน้ำให้ดี  เพราะฝนกำลังจะตก

                สายลมเริ่มพัดมาเอื่อยๆ  แต่ก็ยังไม่มีกลิ่นอายของฝนติดมาด้วย  สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ  เมฆสีดำบนท้องฟ้า  ที่ในตอนแรก  กระจัดกระจายกันอยู่นั้นในตอนนี้  ได้ค่อยๆ  ขยับเข้ามารวมตัวกันจนเป็นก้อนใหญ่  อยู่เหนือทิศทางลมเยื้องๆ  กับที่พักของพวกเรานี่เอง  เมื่อคำนวณดูจากทิศทางลมแล้ว  ถ้าฝนตกลงมาจากกลุ่มเมฆนั้น  คงไม่พ้นจุดที่เรานอนกันอยู่แน่ๆ  จึงต้องเก็บข้าวของเตรียมหนีน้ำเอาไว้  แล้วจึงแยกย้ายกันกลับไปดูสัมภาระของตัวเอง  เก็บใส่ถุงดำเพื่อกันน้ำ  เตรียมดักน้ำที่จะไหลมาตามเชือกเปลจะได้นอนหลับสบายถึงแม้ว่าฝนจะตกหนัก  และไม่ละเลยที่จะทำตามคำเตือนของพี่เจ้าหน้าที่ว่า  ให้เก็บของพ้นจากริมตลิ่ง  เพราะอาจจะเกิดน้ำป่าขึ้นได้  ถ้าฝนตกหนักในคืนนี้  พร้อมทั้งยังเตือนพวกเราอีกด้วยว่า  ให้คอยฟังเสียงน้ำให้ดี  ถ้าน้ำในลำธารยังมีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา  นั่นแสดงว่าปลอดภัย  แต่ถ้าเสียงน้ำในลำธารใกล้ๆ  นั้นเงียบเสียงลงไป  ให้เตรียมตัวให้พร้อม  เพราะสักพักจะมีน้ำป่าไหลลงมาอย่างแรง  พวกเราจึงทำตามคำเตือนนั้น  อย่างเคร่งครัด

                เราเข้านอนกันตามสะดวก  แต่ก็ไม่ค่อยจะหลับสนิทนักสำหรับผม  มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว  เมื่อต้องนอนแปลกที่  แต่ละคนนอนไม่ใกล้กันมากนัก  เรานอนกันบริเวณลานหิน  จึงหาต้นไม้ที่จะผูกเปลยาก  ต้องแยกกันหาที่นอนตามสะดวก  ก็มีบ้างที่นอนแบบคอนโด  เพราะต้นไม้ใหญ่พอที่จะผูกเปลซ้อนกันได้  ที่เป็นสลัมก็มีเหมือนกัน  แต่เรื่องที่จะนอนบนลานหินนั้น  เลิกคิดไปได้เลย  เพราะในตอนกลางคืนนั้น  ฝนตกหนักมาก  ตกนานเสียด้วย  ถ้าใครคิดที่จะนอนบนพื้น  คงต้องลุกขึ้นมาผูกเปลนอนกลางฝนแน่ๆ

                ตื่นเช้าขึ้นมาเดินออกสำรวจพื้นที่รอบๆ  ที่พักเห็นร่องรอยของน้ำที่ล้นตลิ่งเข้ามาใกล้ๆ  เพื่อนที่นอนอยู่ริมลำธารบอกว่า  “เมื่อคืนน้ำไหลเข้ามาใต้เปลที่นอนอยู่เลย  แต่ไม่แรงมันจะค่อยๆ  เพิ่มปริมาณมากขึ้นเท่านั้นเอง  เล่นเอานอนไม่หลับเหมือนกัน”

                ในขณะที่พูดคุยกันเรื่องน้ำอยู่นั้น  เพื่อนที่ผูกเปลนอนอยู่ใกล้ๆ  กับผมได้เอ่ยขึ้นมาว่า  “พี่..พี่..เมื่อคืนผมเห็นกระทิงตัวหนึ่ง  เดินเข้ามาทางหัวนอนพี่  ตอนกลางดึก  ช่วงที่ฝนตกหนักผ่านไปแล้ว  เหลือเพียงพลำๆ  เท่านั้น”

                “แล้วทำไมไม่เรียกผม”  ผมถามทันทีด้วยความตื่นเต้น  เพราะนอนอยู่ตรงจุดที่  กระทิงสามารถเดินเข้ามาได้ใกล้ที่สุด  แต่ผมนอนหันหัวไปทางนั้น  จึงมองไม่เห็นอะไร  อีกอย่างหนึ่งคือ  เสียงฝนที่ตกดังเปาะแปะ...เปาะแปะ..  ลงมากระทบผ้าที่ผูกทำหลังคาอยู่ตลอดเวลานั้น  ทำให้ไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมอะไรเลย  และทางที่กระทิงเดินเข้ามานั้น  ก็ไม่มีกิ่งไม้หรือใบไม้แห้ง  ให้เหยียบจนเกิดเสียง  เพราะเปียกไปหมดทุกอย่าง

                ฟังคำที่เพื่อนบอกเล่า  และถามรายละเอียดบางอย่างแล้ว  ผมยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่า  เขาเห็นกระทิงจริงๆ  หรือเปล่าใจผมยังไม่วายคิดไปถึงควาย  ที่เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังอยู่ด้วย  แต่เพื่อความแน่ใจผมจึงรีบเดินไปยังจุดที่เขาบอก  สำรวจหารอยเท้า  อยากจะรู้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่  แต่ก็ต้องผิดหวัง  เพราะไม่มีร่องรอยอะไรเลย  ทั้งๆ  ที่มีพื้นทรายอยู่เต็มไปหมด  หรือกระทิงตัวนี้  จะฉลาดมากเกินไปจึงเหยียบแต่ตรงส่วนที่เป็นหิน  ร่องรอยจึงไม่หลงเหลือให้ได้พิสูจน์

                ในใจหนึ่งผมคิดว่า  เพื่อนตาฝาดเพราะมันมืดมาก  และก็มีพุ่มไม้ที่ใหญ่พอๆ  กับกระทิงขึ้นเรียงกันอยู่  เมื่อมีลมพัดจึงเกิดการเคลื่อนไหว  ถ้ามองไกลๆ  อาจจะดูไม่ออกว่ามันคืออะไร  จนต้องใช้จินตนาการ  ผมเก็บความคิดนี้  เอาไว้ในใจเพียงคนเดียว  จนมีคนจากอีกกลุ่มหนึ่งเดินมาบอกว่า “เมื่อคืนเขาก็เห็นกระทิงกับกวางลงมาเหมือนกัน  เขานอนอยู่ตรงจุดที่  เพื่อนผมเห็นพอดีแต่อยู่คนละฝั่งน้ำ”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมจึงเข้าใจว่า  เพื่อนผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง  แต่ผมกลับคิดอีกว่า  ถ้ากระทิงตัวนั้นเกิดมีนิสัยเกเรขึ้นมา  ผมจะทำยังไง  เพราะคนแรกที่จะเดินเข้ามา  ระบายอารมณ์ได้ใกล้ที่สุดก็คือผม  แถมผมยังมองไม่เห็นอีกด้วยซ้ำ  เพราะหันหลังให้กระทิง  ไม่อยากจะคิดต่อเลยครับว่า  ถ้ากระทิงตัวนั้นเข้ามาจริงๆ  จะมีใครกล้าจับไส้ของผม  ยัดกลับเข้าไปในท้องหรือเปล่า  หยึยยย!!!!!!!!!

                เรามีโอกาสได้พูดคุยกับพี่  ที่หาบของขึ้นมาให้เราคนหนึ่ง  แกชื่อว่า  เฮีย  แกบอกว่า  ตอนนี้อายุ สี่สิบห้าปีแล้ว  บ้านเกิดของแกอยู่ที่  น้ำตกหินลาดนี่แหละ  พร้อมกับชี้มือไปยังลานหิน  ฝั่งตรงข้ามน้ำตก  ตอนที่แกเกิดนั้นตรงนี้  ยังเป็นหมู่บ้านอยู่เลย  เพราะยังไม่ได้ขายพื้นที่อุทยานฯ  แต่กำลังดำเนินการย้ายผู้คนออกจากพื้นที่เท่านั้น  ในวันที่แกเกิดได้มี  ฮ.  ของทางเจ้าหน้าที่  เข้ามารับแกออกไปส่งที่โรงพยาบาลในเมือง  หลังจากที่คลอดออกมาจากท้องแม่  ได้ไม่กี่ชั่วโมง  ฟังแล้วผมเกิดความอิจฉาพี่เฮียขึ้นมาทันที  แต่ความอิจฉาของผมก็ต้องหมดไป  เมื่อพี่แกเล่าต่อไปอีกว่า  หลังจากนั้นพ่อแม่ของแก  ก็ต้องขายวัวขายควายไปถึง  สี่สิบกว่าตัว  เพื่อจ่ายค่า  ฮ.  ที่มารับแกไปโรงพยาบาล

                พี่เฮียเป็นคนเงียบๆ  ไม่ค่อยพูดแต่พอเหล้าเข้าปากแล้วจะพูดเก่ง  และคุยสนุกมาก  แกพาพวกเราไปดูหิน  รูปเต่าขนาดใหญ่  ที่มีอยู่สามก้อน  ทุกก้อนเหมือนเต่าหนาม  ที่กำลังนอนอยู่จริงๆ  แต่ต้องเดินหาเหลี่ยมหามุมเอาเอง  ว่ามุมไหนจะเห็นหินก้อนไหนเป็นเต่า  อยู่ในลักษณะใด  ในช่วงที่พวกเราเข้าไปดูกันนั้น  จะมีต้นเอนอ้าออกดอกสีม่วงเต็มต้น  บดบังอยู่บ้างแต่ก็ยังพอจะมองออกว่ามันคือเต่าจริงๆ

                ดูเต่าดูดอกไม้ไป  นั่งฟังพี่เฮียเล่าเรื่องราวต่างๆ  แกบอกว่าในสมัยที่แกยังเด็กๆ  ในแถบนี้เคยเป็นหมู่บ้านมีร้านขายของ  มีนาข้าว  ไร่สับปะรด  มีคอกวัวควายเต็มไปหมด

                ในสมัยเด็กๆ  แกต้องเดินไปเรียนชั้นอนุบาล  ที่บ้านเขาน้อย  ซึ่งไกลมากและต้องเดินคนเดียวไป-กลับทุกวัน  ได้ยินแล้วผมคิดในใจว่า  “พี่แกนี่โชคดีจริงๆ  ที่ได้เรียนชั้นอนุบาลทั้งๆ  ที่อยู่ในป่าในเขา  ขนาดผมอยู่ในเมืองที่ในสมัยนั้น  เจริญกว่าที่แกอยู่หลายเท่านัก  ผมยังไม่มีโอกาสได้เรียนอนุบาลกับเขาเลย  ผมมีอายุน้อยกว่าแกด้วยซ้ำ

                พี่เฮียเล่าต่อไปว่า  มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ขณะที่แกเดินกลับจากโรงเรียนอนุบาล  ในตอนเย็น  แกได้เดินพลัดหลงเข้าไปในป่า  โดยไม่รู้ตัวทั้งๆ  ที่เดินตามทางที่เดินอยู่เป็นประจำทุกวัน  แกหลงอยู่ในป่าถึงเจ็ดวัน  โดยที่ไม่รู้ว่าใครเอาข้าวมาให้กิน  แกไม่รู้จัก  รู้แต่เพียงว่าเขาเอามาให้กินเท่านั้น  แกมารู้เอาทีหลังตอนที่หาทางเดินกลับบ้านเองได้แล้วว่า  คนที่เอาข้าวมาให้แกกินนั้นเป็นเทวดา  มันเป็นเรื่องเล่าของพี่เฮียนะครับ  แต่ก็ยังมีคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับแกนั้น  คอยนั่งยืนยันคำพูดของแกอยู่ด้วย  จึงทำให้น่าเชื่อถือมากขึ้น

                เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างแจ้ง  ทั้งเรื่องกระทิง  ทั้งเรื่องบ้านเกิดของพี่เฮีย  จึงเตรียมตัวเก็บข้าวของ  หลังจากที่ผึ่งให้พอหมาดๆ  เพื่อลดน้ำหนักในการแบก  กินข้าวเช้ากันอย่างง่ายๆ  แล้วจึงเริ่มเดินทางกันต่อ  บนเส้นทางที่ราบเรียบ  มีทั้งทุ่งดอกไม้  ลานหิน  ทุ่งหญ้า  ป่าทึบ  เหมือนกับวันแรกที่เดินเข้ามา  แต่วันนี้ระยะทางใกล้กว่ากันมาก  อีกทั้งยังเป็นพื้นราบ  ไม่ต้องเดินขึ้นเขาอีกด้วย  เราจึงเดินกันอย่างสบายๆ

                น้ำตกบังเอิญ  เราเดินกันไปเรื่อยๆ  จนถึงจุดพักแรมในคืนที่สอง  บนเขาสมอปูนแห่งนี้  คือบริเวณริมลำธารน้ำตกบังเอิญ  ตอนที่เราเข้ามาถึงนั้น  อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้เดินทางมาก่อนเรา  เข้าจับจองทำเลดีๆ  บริเวณริมลำธารไปเรียบร้อยแล้ว  เราจึงต้องพักกันด้านบน  ซึ่งอยู่เหนือจุดที่พวกเขานอนกันเล็กน้อย  แต่มีร่องรอยของ  คนที่เพิ่งกลับออกไป  เมื่อเช้านี้หลงเหลืออยู่

                หาทำเลผูกเปลกันเรียบร้อย   โดยที่วันนี้เปลของพวกเราจะอยู่ไกลกันมากขึ้น  เพราะภูมิประเทศไม่ค่อยจะเอื้ออำนวย  แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา  ที่เตรียมตัวมาเพื่อรับกับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว

                ทุกอย่างพร้อมทั้งอาหารและที่พัก  จึงพากันออกเดินเล่น  ดูน้ำตกชมดอกไม้กันไปตามแต่ใครสนใจอะไร  ส่วนผมเลือกที่จะเดินตามพี่  ที่หาบของมาให้เราคู่กับพี่เฮีย  เดินขึ้นไปเหนือน้ำตก  เพื่อไปตกปลาเอามาทำกับข้าวกินกัน  ที่นี่จะมีปลาดุก  ปลาพลวง  ปลาตะเพียนชุกชุม  ตัวไม่ค่อยโตมากนัก  คงจะเป็นเพราะถึงฤดูที่ลูกปลา  เพิ่งฟักออกมาเป็นตัวได้ไม่นาน  แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้กินเลย  ผมกลับลงมาก่อนพี่เขาเพื่ออาบน้ำ  เพื่อนทุกคนเขาอาบกันหมดแล้ว  กำลังรอกินข้าวอยู่

                หน่อไม้เผาที่บังเอิญ  ระหว่างทางที่เราเดินกันมาตั้งแต่วันแรก  จนถึงน้ำตกบังเอิญ  ส่วนใหญ่จะเป็นป่าไผ่  ที่ในช่วงนี้จะมีหน่ออยู่มากมาย  ไม่ว่าจะไปทางไหนจะต้องได้เห็นหน่อแหลมๆ  โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินเต็มไปหมด  ผมจึงเอ่ยขึ้นมากับพี่เจ้าหน้าที่ว่า  “อยากกินหน่อไม้” 

                “เดี๋ยวไปกินหน่อไม้เผาที่บังเอิญ  ที่นั่นหน่อไม่เยอะ”  เสียงตอบรับขึ้นมาทันที  ผมจึงเดินยิ้มไปจนถึงบังเอิญ  เพราะความจริงแล้วการเที่ยวป่า  เราไม่ควรที่จะไปตัดไม้ทำลายป่า  แต่นี่มันเป็นต้นไผ่  ซึ่งตัดแล้วก็แตกใหม่  แล้วก็ไม่ได้หอบเอาออกมาเป็นคันรถด้วย  มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้

                อาหารค่ำของพวกเรา  ในมื้อนี้จึงมีหน่อไม้เผาพวงโต  ที่แบ่งกันกินได้ทุกคน  รวมถึงอีกกลุ่มหนึ่งที่พักอยู่ใกล้ๆ  กันอีกด้วย  แล้วยังมีปลาดุกย่างอีก  ทุกอย่างอร่อยหมด  เพราะเราช่วยกันทำ  ไหนยังจะสถานที่ในการกินที่ได้บรรยากาศ  ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อย  กว่านั่งกินอยู่ในร้านอาหารหรูๆ  ราคา แพงๆ  หลายเท่าจนเปรียบกันไม่ได้เลยทีเดียว

                เรื่องเล่าของชาวป่า  หลังอาหารค่ำ  พี่เฮียซึ่งกินข้าวเรียบร้อย  พร้อมทั้งเติมยาที่ทำให้  เล่าเรื่องได้ลื่นคอลงไป  พอประมาณ  ได้เข้ามานั่งคุยอยู่ด้วย  โดยที่ในค่ำนี้  แกได้เล่าไปถึงเรื่องราวต่างๆ  ที่ได้เล่าไปแล้วเมื่อเช้านี้  อีกครั้งหนึ่ง  เพราะยังมีเพื่อนในกลุ่มของเรา  อีกหลายคนที่ยังไม่ได้ฟังในตอนเช้า  และพี่เฮียยังบอกอีกด้วยว่า  ที่น้ำตกเหวอีอ่ำ  ที่พวกเราจะไปกันในวันพรุ่งนี้นั้น  ถูกตั้งมาจากชื่อของแม่แกที่มีชื่อว่า  “อ่ำ”  นั่นเอง  พอใครเรียกว่า  “เหวอีอ่ำ”  แกจะทำหน้าเศร้า  ผมเลยเอ่ยขึ้นมาว่า  “ผมเรียกเหวยายอ่ำทุกครั้งนะครับ”  (ความจริงคือผมเรียกผิดมาตั้งแต่แรก)  พี่เฮียแกรีบยกมือประนมท่วมหัว

                “ขอบคุณครับๆ”  ตลอดเวลา  พี่อีกคนที่นั่งคุยอยู่ด้วยก็ยืนยันว่า  “เขาตั้งชื่อตามชื่อยายอ่ำแม่พี่เฮียจริงๆ”  แม่แกเป็นผู้อาวุโสและเป็นที่  นับถือของผู้คนในแถบนี้  นั่งคุยกันไปหลายเรื่อง  แต่ไม่ว่าเราจะคุยกันเรื่องไหน  ก็จะต้องมีเรื่องฮา...ฮา.. ออกมาจากปากของพี่เฮียทุกเรื่อง  เนื่องจากแกเริ่มเมาแล้ว  พอเราเอ่ยคำว่า  “ขำ”  แกก็บอกว่า  “ชื่อปู่ผม...”  เราจึงต้องใช้คำว่าฮา...แทน  พอเราเอ่ยคำว่า  “ขวัญ”  “นั่นมันลูกสาวผม...”  พอถึงคำว่า  “ฮำ”  แกก็ว่า  “นั่นเมียผม...”  อะไรไปเรื่อย  แต่ก็สนุกดีสำหรับพวกเรา  นั่งคุยกันไปจนเหล้าหมด  ก็ดึกพอสมควร  ไหนจะเป็นคืนสุดท้ายในป่า  เขาสมอปูนแห่งนี้ด้วยจึงไม่ค่อย  อยากจะนอนเท่าไหร่  แต่เมื่อเหล้าหมด  น้ำหล่อลื่นหมดทุกคน  จึงต้องแยกย้ายกันไปนอน 

                ในช่วงแรกๆ  ที่เข้าเปลนอนนั้น  อากาศร้อนมากๆ  คงจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์  ที่กรอกลงท้องกันในปริมาณมาก  จึงรู้สึกร้อน  แต่ก็นอนหลบลงไปได้ภายในเวลาไม่นานนัก  มารู้สึกตัวตื่นอีกที  ตอนที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมา  ดัง  “เปรี้ยง!!!...”  ไม่ไกลจากที่เราพักมากนัก  และหลังจากนั้นฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก  เสียงลมกรรโชกอยู่บนปลายไม้เป็นระยะๆ  เสียงน้ำตกดังรุนแรงมากขึ้น  มีแสงไฟฉายส่องวิบวับ  อยู่ตลอดเวลา  ตรงบริเวณแค้มป์ที่พักของอีกกลุ่มหนึ่ง  ที่มาถึงก่อน  เข้ายึดครองพื้นที่สวยและสะดวกสบายไปก่อนเรา  แต่ในเวลานี้พวกเขากำลัง  อลม่านอยู่กับการขนย้ายสิ่งของ  เพื่อหนีน้ำที่เอ่อล้นเข้ามาจากลำธารจนถึงที่พัก  คิดว่าพวกเราโชคดีแล้วที่มาถึงทีหลังพวกเขา  รู้สึกเสียดายในตอนแรก  เพราะที่ตรงนั้นสวยมากสำหรับตั้งแค้มป์  แต่ก็ต้องมารู้สึกโล่งใจเอาตอนกลางดึกนี่แหละ  รู้สึกดีที่ได้มานอนอยู่ตรงนี้  ใจอยากจะลงไปช่วยเขาเหมือนกัน  แต่คนที่มากันนั้นเยอะอยู่แล้ว  ทั้งเจ้าหน้าที่ลูกหาบด้วย  อีกอย่างถ้าออกไปช่วยเขาก็คงจะต้องเปียก    เพราะฝนที่ตกหนักมาก  ฟ้าก็ร้อง  “ครืน!!!!!!!!...”  อยู่ตลอดเวลา  เสียงน้ำก็ดัง “ซ่า...ซ่า!!!!!”  แรงอยู่  คิดว่าคงจะไม่มีอันตรายอะไรร้ายแรง  ตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกเอาไว้  จึงนอนต่อไปแต่ก็ไม่หลับ  เพราะระแวงมากกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้  ยังจะมีเพื่อนอีกสองคนที่นอน  อยู่ข้างๆ  ร้องบอกมาว่า  “พี่...พี่...น้ำไหลเข้าเปลเปียกจนชุ่มหมดแล้ว”  ผมลุกออกไปดูอยู่เหมือนกัน  แต่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรมากหรอกนะครับ  เพียงแค่ดูโน่นดูนี่ให้นิดหน่อยเท่านั้น  เพราะเขาเปียกจนชุ่มแล้ว  ถึงจะแก้ไม่ให้น้ำไหลได้  ก็ยังจะต้องนอนแฉะอยู่ดี  และอีกเหตุผลก็คือ  ผมต้องการให้ได้เรียนรู้กันได้ด้วยตัวเอง  ผมไม่ค่อยจะช่วยใครมากนัก  ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงจริงๆ  เพราะการท่องเที่ยว  ไปในธรรมชาติ  ก็คือการเรียนรู้ถึงที่มาของตัวเอง  และสอนให้เอาตัวรอดในการใช้ชีวิต  อยู่กับธรรมชาติด้วยตัวเอง  ถ้าหากว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมานั้น  มันเป็นเพียงเรื่องที่ผมพิจารณาแล้วว่า  มันคือเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

                หลังพายุฝนกระหน่ำ  “พี่...พี่...เมื่อวานพี่บอกว่าอยากให้น้ำตกเต็มหน้าผา  พี่ลองเดินไปดูสิ  วันนี้น้ำเต็มสมใจพี่เลย”  ผมเดินออกไปดูทันที

                สิ่งที่ผมเห็นกับตาตัวเองนั้นก็คือ  บริเวณหน้าผาที่เป็นชั้นน้ำตก  ที่ผมเพิ่งขึ้นไปนั่งตกปลาอยู่เมื่อวานนั้น  มีน้ำไหลจนเต็มหน้าผา  มันไหลแรงมากมีทั้งเสียง  ซ่า...ซ่า...และเสียง  โครม...โครม...ของสายน้ำที่ตกลงมากระทบกับ  ทั้งโขดก้อนหินขนาดใหญ่และแอ่งน้ำเบื้องล่าง  สีของน้ำที่ขุ่นข้น  ถึงแม้ว่าจะกระแทกกับโตรกหินจนแตกเป็นฝอยฟองแล้ว  ก็ยังมีสีออกน้ำตาล-แดงอยู่เลย 

                อากาศในยามเช้าสดชื่นเย็นสบาย  ลมหายใจที่สูดเข้าไปไหลลื่น  จนไม่รู้สึกกับอาการคัดจมูกที่เป็นอยู่  เมื่อตอนก่อนเข้านอนเลย  อากาศสดชื่นจริงๆ  ในผืนป่าไพรแห่งธรรมชาติ

                ผมเดินลัดเลาะดูในจุดต่างๆ  จนกลับมาถึงตรงแค้มป์ของกลุ่มที่นอนอยู่ริมน้ำ  สังเกตเห็นว่ามีเชือกอยู่เส้นหนึ่ง  ที่ผูกขึงข้ามลำธารไปยังอีกฝั่ง  ผมเดาได้เลยว่า  ตรงจุดนี้จะต้องเป็นจุดที่พวกเขาจะข้ามน้ำกัน  ซึ่งมีน้ำสูงระดับเอว  แต่ในบางจุดก็สูงถึงระดับหน้าอกเลยที่เดียว  ผมเดินกลับมาคุยกับคนนำทาง  ให้พี่เขาหาจุดที่จะข้ามได้ง่ายกว่าตรงนี้  แต่พี่เขากลับมาหลังจากออกไปสำรวจแล้วบอกว่า  “ตรงจุดที่ผมเห็นเชือกนั้น  ข้ามง่ายที่สุดแล้ว  จุดอื่นถึงแม้จะแคบกว่า  แต่น้ำก็ลึกและแรงอันตรายมาก  แต่ถึงตรงนี้จะกว้างประมาณเกือบๆ  จะยี่สิบเมตร  น้ำไหลเบาและตื้นกว่า  ให้เราข้ามกันตรงนี้โดยใช้เชือก  โยงข้ามฝั่งเหมือนกัน”  พอดีว่าตรงกลางลำธาร  มีกอตะไคร้น้ำขึ้นอยู่  จึงทำให้ช่วยเราลดความกว้างของลำธาร  และช่วยลดระยะการเหวี่ยงตัวของเชือกได้ด้วย  ทำให้เราปลอดภัยกันมากขึ้น  “ตกลงเราจะข้ามกันตรงนี้”  เราตัดสินใจรับคำของคนนำทาง

                กินข้าวเช้ากันอย่างง่ายๆ  ด้วยข้าวต้มกับผักดองถุง  ซึ่งมีขายตามท้องตลาดทั่วไป  มันเป็นความสะดวกสบายของนักเดินป่า  ในยุคปลายแถวอย่างพวกเรา  สมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเพียบพร้อม  เพียงแค่คุณหยิบมัน  โยนลงในเป้สนามของคุณ  แล้วแบกมันเดินเข้าไปในป่า  หรือถ้าคุณขี้เกียจแบกเอง  ก็จ้างคนอื่นแบกให้  ถ้าคุณมีเงินมากพอ  เพียงเท่านี้คุณก็มาร่วมก๊วน  เป็นนักเดินป่าปลายแถวกับพวกเราได้แล้ว

                ลุยน้ำกลับบ้าน  เมื่อทุกอย่างพร้อม  คนพร้อม  เราจึงเดินไปรอกันอยู่ที่ริมลำธาร  เพื่อที่จะข้ามน้ำกัน  โดยที่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง  เดินข้ามไปดูลายก่อน  แล้วจึงส่งเชือกให้เขาเอาไปขึงข้ามน้ำ  ส่วนบนตลิ่งนั้นได้ผูกไว้กับต้นไม้เรียบร้อยแล้ว  ตรงกลางผูกเข้ากับกอตะไคร้น้ำ  ที่มีกิ่งเหนียวถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก  ปลายเชือกอีกด้านผูกตรงชายฝั่งที่จะขึ้น  เป้ทุกใบถูกยกขึ้นสูงในขณะข้ามน้ำ  โดยยืนต่อกันเป็นแถวแล้วส่งต่อกันไป  จะได้ยืนอยู่กับที่ตรงจุดที่ตัวเองถนัด  ไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา  กลางสายน้ำที่ไหลเชี่ยว  ให้เกิดการพลาดพลั้งขึ้นมา  หลังจากนั้นจึงค่อยๆ  ทยอยกันขึ้นฝั่งทีละคนๆ  จนคนสุดท้ายเก็บเชือก  ข้ามมาเรียบร้อยแล้ว  แต่เราก็ยังไม่สามารถ  ที่จะเดินทางกันต่อไปได้  เพราะเรายังเป็นห่วงเพื่อนร่วมทาง  ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเรา  มาตลอดระยะเวลาการเดินทาง  และกินนอนอยู่ในป่า  อีกหนึ่งชีวิต  นั่นคือ  จั๊กกะแหล่น  ที่เป็นหมาเพศเมีย  มันยังหาทางข้ามน้ำมาไม่ได้  น้ำไหลเชียวมาก  เรายืนคอยให้กำลังใจ  และคอยร้องเรียกให้มันข้ามมา  แต่มันก็ยังมีทีท่า  ลังเลไม่กล้าข้ามอยู่พักใหญ่ๆ  จนในที่สุดมันก็ตัดสินใจ  ว่ายข้ามสายน้ำที่เชียวกราก  สำหรับหมาตัวเล็กๆ  มันว่ายข้ามโดยเอาลำตัวขวางลำน้ำ  และส่งเสียง  “หงิง!!!หงิง!!!”  ตลอดเวลา  มันว่ายข้ามมาจนถึงฝั่ง  ตรงที่พวกเรายืนให้กำลังใจอยู่  โดยที่สายน้ำได้พัดพาเอามัน  ลอยไปห่างจากจุดหมาย  เพียงแค่ประมาณเมตรเดียวเอง  มันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกที่  ทำไมสายน้ำไม่พัดพามันไปไกลกว่านี้    ผมไม่รู้หลักของความเป็นไปได้ในเรื่องนี้  เพราะถ้าเป็นผมถ้า  จะให้ว่ายข้ามน้ำที่ไหลเชียวขนาดนี้  ผมจะต้องเดินขึ้นไปเหนือน้ำมากๆ  เพื่อจะได้เข้าถึงฝั่งตรงจุดหมายพอดี  แต่หมาตัวนี้  ตัวที่มีขนาดเล็กกว่าคนหลายเท่านัก  กลับลอยไปไม่ไกลมากทั้งๆ  ที่เริ่มว่ายข้ามตรงกับจุดหมายพอดี  ผมก็คงต้องเก็บเอาความสงสัยนี้  ไว้ในใจต่อไปแหละครับ  เพราะไม่รู้ว่าจะไปถามใคร  และก็ไม่รู้ว่าจะถามไปเพื่ออะไร

                เมื่อเราข้ามน้ำเรียบร้อย  โดยที่ไม่ทิ้งชีวิตใด  เอาไว้อีกฝั่งแล้ว  ก็เริ่มเดินทางกันต่อ  เพราะในวันนี้เป็นวันที่เรา  จะต้องเดินทางออกจากป่า  เขาสมอปูนกัน  และระยะทางของพวกเรานั้น  ยังเหลืออีกยาวไกลนัก  เจ้าหน้าที่บอกว่า  ให้เราเร่งฝีเท้ากันอีกนิด  เพราะเกลงว่าจะมืดค่ำเสียก่อน  ที่จะเดินลงไปถึงหน่วย  เราไม่ได้นัดให้รถเข้ามารับ  ฉะนั้นเราจะต้องเดินกันให้เร็วที่สุด  แต่เราก็ยังทำความเร็วกันได้เท่าเดิม  ก็สภาพแวดล้อมของเส้นทางเดินนั้น  เหมือนกับวันแรกที่เราเข้ามาคือ  มีป่าทึบสลับกับทุ่งหญ้า  และที่สำคัญยังมี  ทุ่งดอกไม้ให้ได้แวะชื่นชม  อีกตลอดทาง  แล้วใครจะไปอดใจไหวล่ะครับ  ก็เล่นมีคนเปรียบเทียบดอกไม้  กับหญิงสาวทีงดงามเอาไว้ก่อนแล้ว  ผมเป็นชายหนุ่มก็ย่อม  ต้องหลงใหลในสาวงาม  เป็นเรื่องธรรมดา  จึงไม่ใช่เรื่องแปลก  ที่จะหยุดชื่นชม  ความงดงามของบุษบาริมทาง  กันเป็นระยะๆ

                เราพากันเดินไปตามทาง  ที่ราบเรียบบ้างเป็นหลุมเป็นเนินบ้าง  บางจุดมีสายน้ำเล็กๆ  ไหลผ่านบนลานบ้าง  พอให้ได้วักขึ้นมาล้างหน้า  และกินแก้กระหาย  เพิ่มความกระชุ่มกระชวย  ในช่วงที่ต้องเดินตากแดดกันในทุ่งโล่ง  มีบางช่วงที่ต้องเดินตามรอยล้อของรถ  4x4  ที่ปั่นเข้ามาจนทางพัง  ถึงแม้ว่าเราจะเดินกันตามรอยล้อรถ  ก็ยังมีลื่นไถลกันบ้าง  เพราะดินเหนียวที่ถูกน้ำนั้น  ทำให้เกิดความลื่น  มีทั้งขึ้น-ลงเขา  ข้ามลำธารน้ำซับบ้าง  ในบางช่วงจนเดินมาถึง  ซับ.........................  ซึ่งที่นี่จะมีสัญญาณโทรศัพท์  เราจึงตกลงกันใหม่ว่า  จะโทรเรียกรถเข้ามารับ  ที่น้ำตกเหวยายอ่ำ  เพราะคำนวณดูเวลาและคาวามเร็วในการเดินของพวกเราแล้ว  ไม่สามารถจะเดินออกไป  จากป่าผืนนี้ได้ทันก่อนมืดแน่นอน  เราพักกันตรงนี้แล้วจึงเริ่มเดินต่อไปตามทางรถยนต์  ที่เริ่มสบายมากขึ้นจนถึงจุดหมายต่อไปของเรา

                น้ำตกแม่พี่เฮีย  (เหวอีอ่ำหรือเหวยายอ่ำ)  เดินคุยกันไปหยอกล้อกันไป  บนเส้นทางที่แสนจะสบายในช่วงท้ายๆ  ใครเดินเร็วก็นำหน้าไปก่อน  ใครช้าก็ไปเรื่อยๆ  เพราะเราไม่ห่วงอีกแล้ว  ที่จะเดินออกไปไม่ทันก่อนค่ำมืด  ก็เราได้โทรตามรถเข้ามารับแล้วนี่ครับ  แล้วยังจะต้องมาห่วงอะไรกันอีก  จึงค่อยๆ  เดินกันไปจนถึงตัวน้ำตก 

                เหวยายอ่ำเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สายน้ำทิ้งตัวลงมาจาก  หน้าผาสูงเกินกว่าสิบเมตร  ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสูงเท่าไหร่  เพราะไม่สามารถเดินไปดูได้  เนื่องจากเป็นเหวลึก  อีกทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาบดบังจนแทบ  จะมองไม่เห็นตัวน้ำตกเลย  ได้ยินแต่เสียงของน้ำที่คำราม  อยู่ตลอดเวลาเท่านั้น  น้ำก็เยอะและแรงมากอีกด้วย

                ที่นี่จะเป็นจุดสุดท้ายและอาหารมื้อสุดท้าย  ของพวกเราบนเขาสมอปูน  และที่นี่ก็คือจุดนัดพบที่ได้ให้รถขึ้นมารอรับพวกเรา

                ในตอนที่เดินมาถึงนั้น  ได้เห็นมีแค้มป์ของขบวนรถ  4x4  พักกันอยู่หลายคัน  และพวกเขาก็เตรียมเก็บข้าวของ  กลับออกไปเหมือนกัน  ยังมีผู้ชายสี่คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์วิบาก  เข้าไปที่น้ำตกบังเอิญ  แล้วได้คุยกับผมเมื่อวานเย็น  ตอนที่อาบนำอยู่ด้วย  จึงได้ทักทายกันบ้างเป็นครั้งที่สอง  ในฐานะที่เคยคุยกันมาบ้างแล้วครั้งหนึ่ง

                ข่าวดีที่เราได้รับอีกครั้ง  หลังจากที่ได้เดินกันมาจนถึง  น้ำตกเหวยายอ่ำก็คือ  รถที่จะขึ้นมารับพวกเรานั้น  ขึ้นมาถึงแล้ว  แต่กลางทางมีโคลนถล่ม  จนเส้นทางไม่น่าไว้ใจ  สำหรับรถที่จะไต่ขึ้นมา  แต่สำหรับรถที่จะคลานลงไปนั้นสบายๆ  นั่นย่อมหมายความว่า  พวกเราจะต้องเดินเท้ากันต่อไปอีกหน่อย  เพื่อจะไปขึ้นรถที่รอเราอยู่  ตรงจุดที่ดินถล่มนั้น  พวกเราจึงมัวโอ้เอ้อยู่ต่อไป  ไม่ได้อีกแล้ว  มาม่า  จึงถูกต้มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ด้วยเตาแก๊สเล็ก  และก็จะเป็นอาหารมื้อสุดท้าย  ของพวกเราในราวไพร  ของเขาสมอปูนแห่งนี้ด้วย   ในตอนแรกตั้งใจว่าจะเล่นน้ำกันให้หายเหนื่อยก่อน  แล้วจึงนั่งรถกลับไปข้างล่าง  แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา  เราจึงต้องเปลี่ยนแผน  รีบกินแล้วเก็บข้าวของ  เดินลงเขากันในทันที  เพราะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือ  ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ  เราจึงรีบเดินกันจนถึงรถที่จอดรอเราอยู่  ได้สักพักหนึ่งแล้ว  เมื่อทุกคนพร้อมหน้า  สัมภาระทั้งของเรา  และของกลุ่มที่เดินล่วงหน้าไปแล้ว  แต่ฝากให้รถของเราบรรทุกเอาลงไปให้ด้วย  ซึ่งพวกเราก็ยินดีเพราะ  เขาฝากตอนที่พวกเรายังเดินกันไม่ถึงรถเลย  นี่คือน้ำใจเล็กๆ  น้อยๆ  ที่พอจะมีให้กันได้ในผืนไพร  เพราะจากจุดนี้ลงไปยังเหลือระยะทางอีกยาวไกลนัก  กว่าจะถึงหน่วย  ขญ.11  ถ้าจะต้องแบกของ  เดินลงเขาบนเส้นทางที่ทั้งชันทั้งลื่นด้วยแล้ว  ขอมีน้ำใจให้กันดีกว่าครับ  ถึงยังไงเราก็ไม่ได้แบกให้เขาอยู่แล้ว

                ถึงหน่วยอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย  ล่ำลาเจ้าหน้าที่และคนนำทางเรียบร้อย  จึงเดินทางกลับบ้านกันโดยสวัสดิภาพ 


                การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางแบบกลุ่ม  ที่มีจำนวนคนกำลังพอดี  ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป  มันเป็นการเดินทาง  ที่ลงตัวทุกสิ่งทุกอย่าง  ทั้งการจัดการเตรียมอาหาร  ให้เพียงพอ  การปรึกษาตกลงออกความเห็นกันแบบไม่มีขัดแย้ง  ตามนิสัยส่วนตัวของผมถ้าจะมีการเดินทาง  ผมเลือกที่จะไปคนเดียว  หรือถ้าจะมีเพื่อน  ก็อย่าให้มากแค่สอง-สามคนก็พอ  แต่การเดินทางในครั้งนี้  มีจำนวน  เก้าคน  ซึ่งก็พอดีกับการเดินทาง  ทุกสิ่งทุกอย่างช่วยเหลือกัน  ไปตามความเหมาะสม  ไม่มีเกี่ยงงอน  ทุกคนทำตามหน้าที่ของตัวเอง   โดยที่ไม่ต้องมีการแบ่งงานกันด้วยซ้ำไป  เพราะหน้าที่ของทุกคนคือ  ช่วยกันทำทุกอย่างนั่นเอง

                ขอขอบคุณผืนป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ 

                ขอขอบคุณผู้ที่พิทักษ์รักษาผืนป่าทุกคน  ที่ได้รักษาเอาไว้ให้  นักเดินป่าปลายแถวอย่างผม  ได้มีป่าเอาไว้เดินเล่นบ้าง  ในบางเวลา  ในบางช่วงของชีวิต

                ขอขอบคุณจากใจจริงๆ  ครับ   

                เรื่องโดย โก๋-ก้อนดิน

                ภาพประกอบ เอก ชมไทย และเพื่อนสมาชิกชมลม ชมไทย


                                                          รวมภาพทริปเขาสมอปูนจากเพื่อนชมไทย                                                                                                       

 1  คืนฟ้าพิโรธ ณ เขาสมอปูน 
  โดย : Mr.postman เมื่อ : 2011-08-16 16:07:32
2635/116
Mr.postman 
2011-08-29 17:06:57
 2  เขาสมอปูน ในเส้นทาง ลานหินดาด ทุ่งบังเอิญ น้ำตกบังเอิญ เหวอีอ่ำ จ.ปราจีนบุรี 
  โดย : ake_chomthai เมื่อ : 2011-08-15 12:42:38
5193/89
kettek 
2011-08-21 18:13:58
 3  ทริป บุก แบก ตะลุย ป่าเขาสมอปูน 
  โดย : แว่นหลังเลนส์ เมื่อ : 2011-08-16 19:16:11
1692/61
kettek 
2011-08-21 18:04:15
4  เดินป่าหน้าฝน ยลโฉมดอกไม้ บนยอดสมอปูน ปราจีนบุรี 
  โดย : UncleTree เมื่อ : 2009-09-30 10:14:58
5386/126
rolex watches 
2010-07-24 19:06:21
 
  

ชมแบบ VDO รายการชมไทยแลนด์ จากทริปนี้

fb.jpg 

1

เยี่ยมมากเลย

เข้าใจเลย

เห็นด้วยๆ

ซึ้งจังเลย

ขำฮาตรึม

มีผู้แสดงความรู้สึก (1 คน)

ความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น)

facelist doodle วาดภาพ

คุณต้องลงชื่อเข้าใช้ก่อนจึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

เที่ยวทะเลตราด

Archiver|WAP|ชมไทย ชมไทยแลนด์ ชมลม ชมไทย www.chomthai.com www.chomthailand.com ติดต่อ IDLINE : akechomthai Tel. 089-780 1770 e-mail : chomthailand@gmail.com

GMT+7, 2024-4-26 11:00 , Processed in 0.307688 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X2.5 Patch R20130222

© 2001-2012 Comsenz Inc.

ขึ้นไปด้านบน