ก่อนที่เราจะข้ามเรือจากจำปาสักเพื่อจะกลับมายังปากเซ ..
..
ก่อนที่เรือข้ามฟากจะเคลื่อนตัว ..
ฉันมองข้ามไหล่ ฝรั่งคนนึง เห็นผู้หญิงชาวเอเชีย ไม่แน่ใจว่าญี่ปุ่นหรือเกาหลี พร้อมลูกเล็กๆ
หน้าตาน่ารักน่าชัง 2 คน ..
กำลังยึกยักที่จะข้ามเพื่อที่จะขึ้นแพขนานยนต์นี้กลับ ..
ฉันมองอยุ่พอควร .. จนรู้ตัวอีกที ฉันเดินเหมือนต้องมนต์สะกดไปใกล้ๆ ..
ขอบแพที่กำลังจะยกเคลื่อนตัวออกแล้ว
เสียงร้องไห้ของเจ้าตัวเล็ก ..
คนเป็นแม่ .. กำลังวุ่นอยู่กับเป้สัมภาระอันใหญ่โตบนหลังของเธอ .. มือนึงก็คอยจับลูกน้อยไว้
พร้อมทั้งส่งสายตาวิงวอนมายัง คนของแพ ..
เด็กคนพี่ .. ผมหน้าม้า ตากลมโต แก้มชมพู อายุราว 6-7 ขวบ ..
อยู่ในใบหน้าไม่หวาดหวั่นหรือหวาดกลัวอะไรนัก ลุยน้ำข้ามมา .. ขึ้นแพ
ในขณะที่แม่ของเขายังสาละวนกับเจ้าตัวเล็กซึ่งร้องไห้กระจองอแงอยู่ ..
..
ระหว่างนั้น .. คนในเรือซึ่งมีทั้งคนลาว ฝรั่งและคนไทยผมดำอย่างพวกเรา .. ก็มองด้วยความสงสาร ..
ไม่จะทำยังไง เพราะคนเรือไม่ได้สนใจหญิงต่างชาติคนนั้นเลย ..
อาจจะเพราะเป็นกฎระเบียบอะไรก็ไม่รู้ ..
เหอะ .. แต่ฉันไม่สนหล่ะ .. สงสารเด็ก .. !
ฉันก็เลยเดินไปถามคนเรือว่ารับเขามาได้ไหม เด็กร้องไห้น่าสงสาร .. คนเรือบอกไม่รับ พร้อมทำหน้าไม่สนใจ
.. ฉันอารมณ์พุ่งปรี๊ดดเลย
.. อะไรวะ ไม่มีน้ำใจกันเลย ..
เด็กน้อยคนพี่ .. ไม่สนใจอะไรแล้ว .. ข้ามขึ้นมาบนแพ .. ตานี้ก็ต้องบังคับแม่ไปในตัว ..
ซึ่งจังหวะแพเข้าไปใกล้ฝั่งพอดี ตัวแม่เลยกึ่งหิ้ว กึ่งจูงสาวน้อยตัวเล็กน่าบ๊องแบ๊ว วัยประมาณ 3 ขวบ
.. มาบนเรือได้ .. ซึ่งทำให้ผมโล่งอกอยู่ในทีนัก ..
..
ฉันว่า .. คนเรือคงไม่ใจไม้ไส้ระกำเท่าไหร่ .. เลยเหหัวแพเข้าฝั่งเป้นการช่วยเหลือ เพระฉันเข้าใจว่า
การที่คนต่างชาตจะขึ้นแพนั้นต้องเสียเงินขึ้นรถเพื่อจะไปบนแพอีกที
เป็นกลยุทธที่หากินกันง่ายๆในจำปาสักแห่งนี้ ..
.. ฉันมองไปทางขวามือ ..
ตำรวจลาวกำลังนั่งจ้อง .. อยู่
..
.. สามแม่ลูกขึ้นแพได้ ก็ลากกระเป๋าไปข้างรถยนต์ เด็กน้อยทั้งสอง ไม่มีร่มไม่มีแดด ..
ฉันจึงไปสปีคอิงลิช งูๆปลาๆ ให้มาหลบแดดทางรถสองแถวเรา ..
พร้อมทั้งเปิดเป้ของฉันหยิบร่ม .. ที่พกมาให้แม่ลูกนั้นใช้บังแดดด้วย ..
.. ฉันรู้สึกโล่งใจ .. แบบบอกไม่ถูก ที่เห็นสามแม่ลูกขึ้นแพมาด้วยกันได้ ..ฉันคิดอยู่ในใจว่า ..
.. เอ คุณพ่อเค้าไปไหนน้า ..
.. มาตรากตรำท่องเที่ยวแบบนี้ได้ยังไง ..
แต่คงเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ซึ่งดูจากเป้ที่แบกแล้ว .. ใหญ่พอควร แปลว่าเดินทางมาหลายที่แล้ว ..
..
จากนั้นฉันจึงชวนทั้งหมดขึ้นรถ เพื่อที่จะให้คนอื่น เห็นว่าครอยครัวนี้มากับเรา
อีกทั้งฉันสงสารเด็กๆซะเหลือเกิน ตากแดดซะแก้มแดง เหงือ่ไหล่ไคลย้อย ..
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น ฉันเลยเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำส่งให้ผู้เป็นแม่รับไว้ ..
..
.. น้ำใจ .. คนไทย ..
.
.
จากที่คุยกัน เขาเป็นชาวเกาหลี ได้ท่องเที่ยวมาแล้วหลายที่ หลังจากข้ามแพไปนี้ เขาจะไปกัมพูชาต่อ
โถ แม่คุณ ทรหดจริงๆ ..
คนแม่ชื่อ ซู จิน หรือ Lee Soo Jin ลูกคนโตชื่อ ฮุน วู เป็น Boy เราก็นึกว่าเป็นผู้หญิง อยู่ประมาณ ป.1
อิอิ คนเล็กน้องสุดท้องแสนน่ารัก ชื่อ แว วอน .. น่ารักสมชื่อจริง
ทั้งหมดมาจากกรุงโซล ออกทริปทัวร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ประเทศ เป็นระยะเวลา 1 เดือน
ซึ่งเขาได้ไปเที่ยวไทย มาเรียบร้อยแล้ว ..
.. ทรหดจริงๆ ..
นู๋ฮุน วู .. แก้มใส
นู๋แว วอน .. น่ารักจัง
..
ทั้งสามคนอยู่ในรถสองแถวเรา .. ซึ่งเพื่อนก็ได้เสียสละยอมอัดกันแน่น
เพื่อที่ให้ครอยครัวน่ารักๆไปด้วยกับเรา ..
ซู จิน ขอติดรถเราไปลงที่หลัก 10 เพื่อที่จะออกไป ทางเส้นคอนพะเพ็ง แล้ว Border เข้าประเทศกัมพูชาต่อ
...
ระหว่างอยู่ในรถ .. กลิ่นแห่งมิตรภาพ กำลังหอมอบอวล ..
ทิฟฟี่ชวนซูจินพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แถมมอบเข็มกลัดชมไทยให้ไปด้วย
เจ้าพีก็คอยถ่ายรูปเด็กๆ เพื่อนๆอีกหลายคน ขอถ่ายรูปด้วย คุณแม่ก็น่ารัก
ให้ลูกๆร้องเพลงขอบคุณพวกเราอีก
..
..
ฉันมีความสุขจริงๆ ..
..
ฉันพูดคุยกะซูจิน เรื่องกล้อง ดูซู จินชอบมาก เพราะเขาชอบถ่ายรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กล้องฟิล์ม ..
แต่คุยไปคุยมา ก็จะถึงปากทางแล้ว เลย .. ร่ำลากันก่อนด้วยความอาลัย ของมิตรภาพแค่ครู่เดียวสำหรับเรา ..
แต่คงจำไว้ยาวนานของ ซู จิน ..
ใช่ไหม ..
ฉันเชื่อ .. แววตาเขาบอกอย่างนั้น ..
ก่อนจะลงซูจิน ได้เขียนอีเมล และ Blog ที่อยู่ไว้ให้เราด้วย .. ซึ่งเราคงจะ keep in touch กันบ้าง
ถ้าโลกนี้ลิขิตเรามาเจอกันอีก
..
ขอให้ ซูจิน ฮุนวู แววอน เดินทางปลอดภัย ..
ฉันภาวนา .. จนแม้กระทั่งฉันเขียนบทความอันนี้ ..
..
รู้ไหม ..ซู จิน จุดประกายบางอย่างใน... ตัวฉัน
..
ขอบคุณ ครอบครัวตระกูลลี ที่ชะตาทำให้เรามาพบเจอ
ขอบคุณแรงบันดาลใจ .. ที่จะคงอยู่ในใจฉัน
.. ตลอดไป ..
..
** รูปถ่ายจาก พี ชมไทย orisis จ้ะ