จากนั้นผมก็มองหาเต็นท์หลังใหม่อีกครั้ง ประมาณเดือนเมษายน ผมตั้งใจจะไปเที่ยวภูกระดึง
ผมไม่แน่ใจว่าจะเจอฝนหรือไม่ ทุกคนบอกว่าปีนี้แล้วมากๆ แต่ด้วยความที่เที่ยวป่าแถบนี้มานาน
ผมรู้ว่าช่วงเมษายนจะเป็นช่วงที่ป่าด้านนี้มีฝนแล้ว ยกเว้นแต่ว่าสภาพอากาศผิดปกติจริงๆ เช่น
มีปรากฏการเอลนินโย่ ผมได้ภาพทะเลหมอกสวยๆ จำนวนมากจากป่าด้านนี้ในฤดูร้อน ใครๆ
ดูภาพก็จะนึกว่าเป็นฤดูหนาวกันทั้งนั้น
เต็นท์หลังที่สามของผมเป็นเต็นท์โดมเหมือนเดิม มีโครงไฟเบอร์ไขว้ซึ่งเป็นทรงยอดนิยมในปัจจุบัน
ขนาดเต็นท์ประมาณ 2x2 เมตรนอนสบายๆ วัสดุที่ใช้ก็ดูดี ผ้าร่มเคลือบกันน้ำ ยี่ห้อไว้ใจได้
ทุกอย่างผ่านหมด ราคา 3,000 บาท เป็นเต็นท์ที่แพงที่สุดเท่าที่เคยซื้อมาเลย หลังจากนั้นผมก็ขึ้นภูกระดึง
เป็นไปตามคาด สามวันแรกผมไม่เจอฝนเลย แต่วันที่สี่ คืนนั้นผมโดนฝนหนักมาก ตอนแรกก็นอนสบายๆ
ไม่มีปัญหาอะไร ในขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันน้ำเข้าเต็นท์หมดทุกคน ผมคิดว่าน่าจะผ่านแล้ว ที่ไหนได้
ประมาณเที่ยวคืนกว่าๆ ผมรู้สึกว่าเท้าเปียกๆ น้ำซึมเข้ามาทางตะเข็บและซิบ ผมต้องเอาผ้ามาคอยซับน้ำ
น้ำเข้ามาเร็วมากๆ จนต้องยอมเปียกฝน เอาผ้าใบไปคลุมเต็นท์อีกรอบ เอาละหว่า เต็นท์ 3,000 บาท
ใช้งานครั้งเดียวเองนะเนี้ย น้ำเข้าแล้วหรือ
วันรุ่งขึ้นผมเดินดูรอบๆ เต็นท์ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเต็นท์ของเรากันแน่ ทำไมน้ำถึงเข้าได้
ปรากฏว่าน้ำเข้าที่ซิบกับตะเข็บจริงๆ รวมทั้งที่มุมพื้นเต็นท์ด้วย คืนต่อมาฝนตกหนักอีกแล้ว
ผมต้องเอาผ้าพลาสติกคลุมมุมพื้นเต็นท์ และคลุมเต็นท์ทั้งสี่ด้าน
ไม่ให้น้ำฝนสาดเข้าตะเข็บและซิบเต็นท์ได้ สำหรับผมแล้ว
เต็นท์หลังนี้เป็นเต็นท์ที่ผมรู้สึกไม่คุ้มค่าที่สุด เพราะราคาตั้ง 3,000 บาท แล้วใช้ครั้งเดียวน้ำเข้า
อะไรจะปานนั้น แต่ผมก็ยังใช้เต็นท์หลังนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพราะผมยังรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า
แต่ก็ต้องเอาผ้าพลาสติกมาคลุมจุดที่น้ำเข้าได้ทุกครั้งที่ในฝนตก
สิ่งที่ผมได้จากเต็นท์หลังนี้คือ ยี่ห้อดีอาจจะไม่ดี ราคาสูงอาจจะคุณภาพไม่สูงตามราคา
เอ๊ะ…หรือเป็นเพราะเราตาถั่วเอง