แม้ว่ามันจะมีแต่เรื่องวุ่นๆ แต่ในที่สุดเราก็ได้ออกเดินทางคืนวันที่ 30 ธันวา
วันที่ผู้คนเต็มหมอชิต ทำให้เรา ทั้ง 6 คนไม่สามารถเดินได้ ไหลไปตามผู้คน
กว่าจะได้ขึ้นรถก็เลยเวลาแล้ว ที่สำคัญต้องแย่งขึ้นรถทั้งๆ ที่จองไว้ เศร้าใจจริง
เราไปถึงน่านก็สายมากแล้ว ทั้งๆ ที่กีวี่กับหลานมมารอตั้งแต่ 7 โมงเช้า
หลังจากกินข้าวเช้า ซื้อของเรียบร้อยก็มุ่งหน้าสู่บ้านสะไล ไปถึงก็บ่ายแล้ว
ทั้งๆ ที่นัดลูกหาบไว้ตอน 10 โมง พอเตรียมตัวเรียบร้อยเราก็ออกเดินทาง
ระยะทางช่วงแรกเป็นถนนไม่มีต้นไม้ที่จะให้หลบแดดได้เลยร้อยจับจิตจับใจจริงๆ
พอพี่เขาบอกว่าเดี๋ยวก็ได้เดินเข้าป่าแล้วก็โล่งใจ แสงแดด ค่อยๆ อ่อนลง
แต่เราก็ยังต้องเดินขึ้นเขา ลงเขา ไปรื่อย ๆ ผ่านูกแล้วลูกเล่า แสงสุดท้ายของวัน
สิ้นปีได้หายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่ถึงที่พัก พอถึงก็รู้สึกดีใจสุดๆ มันเป็นลานโล่งๆ
มองไปทางไหนก็มีแต่ขี้วัว ล้อมรอบด้วยเขา เรากางเต้นท์ใกล้ๆ พุ่มไม้เพื่อหลบ
ลม คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องส่วงไปทั่ว อย่างกับกลางวัน
เราช่วยกันทำกับข้าวและกินกันจนอิ่มแล้ว ก็มานั่งหน้าเต้นท์รอเวลานับถอยหลัง
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยกัน ทั้งง่วงทั้งเหนื่อยแต่ก็อยู่กันจนถึงเที่ยงคืน
5..4..3..2..1..HAPPY NEW YEAR 2553...สมหวัง ๆ
เราไม่ได้เห็นแสงแรกของวันที่ 1 มกราคม 2553 เพราะเขาสูงบังเราอยู่
เราออกเดินทางอีกทีก็สายแล้ว เดินผ่านป่า ไปเรื่อยๆ แต่เหนื่อยน้อยกว่า
เมื่อวานเพราะวันนี้เราไม่ต้องแบกเป้ ถึงหลักกิโลก็เที่ยงพอดี
ต้มมาม่ากินกันตรงนั้นเลย แล้วก็ถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่จะกลัที่พัก
เพราะเราลงมติว่าไม่เดินไปหลักกิโลอีกแล้วเพราะแต่ละหลักห่างกัน 5 กิโล
แต่ท่าหัวหน้า (เอ็มใบตอง) อยากไป ...ช่ายไหม...
ขากลับพี่ลูกหาบพาเราเดินอีกทางหนึ่ง วิวสวยมาก เดินอยู่ริมเขา ต้นหญ้าปลิว
ตามแรงลม เรากลับมาถึงที่พักก็เย็นแล้ว พอหายเหนื่อยเราก็มารวมตัวกัน
นั่งดูพระอาทิตย์ตก คืนนี้เรานอนกันไม่ดึกนัก
เช้าวันที่ 2 มกราคม 2553 หลังจากกืนข้าว เก็บของเราก็พร้อมออกเดินทาง
กลับไปสู่เมือง เวลาชั่งผ่านไปเร็วจริงๆ ลาก่อนนะภูเข้
เราเดิน เดิน เดิน ขึ้นเขา ลงเขา ผ่านป่า ฝ่าน้ำตก และแสงแดด จนแทบหมดแรง
ในที่สุดเราก็มาถึงซะที 3โมงกว่า รถยังไม่มารับเรา เขาลืมเราหรือเปล่า
พอได้ยินเสียงรถพวกเราก็กรี๊ดโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ ไม่ใช่รถที่จะมารับเรา
รอ รอ รอ ในที่สุดก็มา เรากรี๊ดกันสุดเสียงอีกครั้งก่อนที่จะบอกกีวี่ว่า
ถ้าเจอร้านข้าวแวะหน่อยนะ เพราะหิวมาก พอถึงบ่อเกลือเราก็ได้กินกันจนหนำใจ
และมุ่งหน้าสู่เมืองน่านที่พักคืนนี้ ระหว่างทางเราหัวเราะกันตลอด ป้าทำอะไร
ให้เรากินเนี่ย พอพระอาทิตย์ตกความมืดก็เข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าเต็มไปด้วย
ดาวเยอะแยะมากมาย สักพักเราก็เห็นว่ามีดาวเคลื่อนที่แต่ไม่ใช่ดาวตกนะ คนโน้นก็เห็น คนนี้ก็เห็น
...ตื่นเต้นกันใหญ่..อ่อ นั่นดาวเทียม..ห๊าดาวเทียม..เฮ่อ..
พอถึงตัวเมืองเราก็หาที่พักซึ่งตั้งใจว่าจะไปพักที่น่านฟ้า แต่ก็อดเพราะมันเต็ม
เราไปพักที่ศรีนวล ลอจท์ ออกไปรอบนอกนิดหนึ่งแต่ไม่ไกลจากถนนคนเดิน
ถนนคนเดินที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตแต่เราใช้เวลาเดินนานามาก บางร้านปิดก่อนด้วยซ้ำ
เช้าวันที่ 4 มกราคม 2553 เราลงมติว่าจะปั่นจักรยานเที่ยวเมืองน่านกัน
8โมงกว่าเมย์ปั่นออกมาซื้อตั๋วกับเอ็ม เจอป๋าเดียร์กับมินิด้วย โลกกลมจริงๆ
แล้วเราก็ออกท่องเมืองน่านกันเลย
ปั่นไปวัดพระธาตุแช่แห้งก่อนเราใช้เวลาอยู่วัดนี้พอสมควรก็ปั่นเข้าเมืองมาวัดภูมินทร์ แวะพิพิธภัณฑ์
ไปวัดข่วง
ปิดท้ายด้วยวัดช้าวค้ำ และเราก็กลับไปเก็บกระเป๋าเพื่อกลับเมืองกรุง
ถึงขนส่งตอน 6 โมง แต่กว่าจะได้ขึ้นรถก็ปวดหัว วุ่นวายไม่แพ้ตอนมาเลย
ถึงกรุงเทพฯตอนตี 4 ด้วยความปลอดภัยทุกคน
ขอบคุณหัวหน้า(เอ็มใบตอง) ที่จัดทริปวุ่นๆ ทริปนี้
ขอบคุณหนูนาที่ไปเป็นแม่ครัวจำเป็นให้พวกเรา
ขอบคุณจี , อ้อน และต้น ที่ไปทำให้ทริปนี้สนุกสนานและน่าจดจำอีกทริป
ขอบคุณรองหัวหน้า(เมย์เองแหละ) ที่ยังเดินไหว
หวังว่าคงได้ร่วมเดินทางกันอีกนะ...อย่าลืมนะท่านหัวหน้าทริปหน้าทะเล..อิอิ
ปล.หลงรักเมืองน่านเข้าอย่างจัง
เมย์_มาโคร