จาก เรื่องราวที่ชาวบ้านได้พูดกันถึงอภินิหารที่เกิดขึ้น
เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้ทราบก็ทรงออกจากเมืองเพื่อมาใส่บาตรแก่พระมหาป่า เกสระปัญโญ
จังหวะนั้นจึงได้คิดกุศโลบายที่จะทราบถึงที่มาที่ไปของพระมหาป่าเกสระปัญโญ ให้ได้
เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงก็ได้ให้ทหารผ่ามะพร้าวแบ่งออกครึ่งให้เท่ากัน
โดยซีกหนึ่งเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้ใส่บาตรมอบให้แก่พระมหาป่าเกสระปัญโญ เก็บไว้
โดยพระองค์เก็บไว้ในครึ่งซีกที่เหลือ จากนั้นก็ให้ทหารคนสนิทออกติดตามหามะพร้าวซีกที่ได้ใส่บาตรไป
เวลาเนิ่นนานผ่านไปทหารก็สอบถามจากชาวบ้านชาวเมืองต่าง ๆ ถึงรูปลักษณะของพระมหาป่าเกสระปัญโญ
จนในที่สุดก็มาพบกับพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังจำพรรษาอยู่ในป่าบนเนินเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
จนเกิดความแปลกใจในเหตุที่ไม่ไปจำพรรษาที่วัดและสอบถามถึงมะพร้าวที่เจ้าฟ้า
เมืองเชียงตุงได้ใส่บาตรมาให้ พบว่ามีมะพร้าวอยู่ซีกหนึ่งวางอยู่จึงนำมาประกบ
ปรากฏว่ามะพร้าวทั้งสองซีกเป็นมะพร้าวลูกเดียวกัน จึงนำความถวายรายงานต่อเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง
ไม่นานเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงก็พาทหารยกทัพมาพบพระมหาป่า เกสระปัญโญ
เพื่อแสดงความเคารพนับถือในอัจฉริยะของพระมหาป่า เกสระปัญโญ
และได้สร้างพระวิหารขึ้นเป็นอนุสรณ์ระลึกระหว่างเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงกับพระ มหาป่า เกสระปัญโญในปีพ.ศ.
๒๒๒๖ ตามหลักฐานการจารึกบนแป้นไม้บนขื่อวิหารของวัด ถอดความได้ว่า
“จ.ศ.๑๐๔๕(พ.ศ.๒๒๒๖) ตัวปีก๋า เดือน ๔ เพ็ญเม็ง ๔
ไตเต่าสะง้า(มะเมีย) พระมหาเกสระปัญโญเจ้า เป็นประธาน
กับทั้งศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้อัญเชิญพระสงฆ์เจ้าได้ปกแป๋ง
เสลารัตนปัพพตารามหลังนี้แล ศรัทธา นักบุญทั้งหลาย
มวลชุคน จุ่งอนุโมทนาเต๊อะ”
(พ่อหลวงหนานกุ้ม วรรณมณี, พ่ออาจารย์หนานตา อุรา, พระชัยพร อตตฺสาโร ผู้ถอด :๒๕๔๙)